การศึกษาถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อเด็กๆ เพราะมันสามารถช่วยให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้นได้เมื่อมีความรู้มากพอ ดังนั้นสำหรับผู้ปกครองแล้วการเลือกที่เรียนให้กับเด็กๆ จึงเป็นอะไรที่สำคัญและอาจจะมีผู้ปกครองหลายๆ ท่านเป็นกังวล ว่าจะต้องเลือกที่เรียนแบบไหนดีให้ตอบโจทย์กับเด็กๆ ให้ได้มากที่สุด ยิ่งในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงและเปิดกว้างในการสื่อสารมากๆ ทำให้เด็กยุคใหม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และหัดพูดภาษาที่สองให้ได้ และคล่อง เพื่อนำไปต่อยอดในอนาคต ดังนั้นการตัดสินใจของผู้ปกครองในการเลือกที่เรียนให้ลูกจึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญกับเด็ก ซึ่งโรงเรียนที่เพียบพร้อมในการเรียนรู้มากที่สุดส่วนมากจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ โดยเฉพาะ international school Bangkok เพราะในกรุงเทพเป็นพื้นที่ที่มีโรงเรียนนานาชาติอยู่เยอะทำให้การแข่งขันสูง โดยโรงเรียนนานาชาติแต่ละโรงเรียนจะมีจุดเด่นของตนเองแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงมีหลักสูตรให้เลือกเรียนมากมาย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่เด็กเรียนรู้และประสบการณ์ที่เขาได้รับจากที่โรงเรียน จะเป็นพื้นฐานของการเติบโตของเขาได้ในอนาคตค่ะ
หลักสูตร international school Bangkok
-
หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum)
โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum) เป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างมีความหลากหลาย เน้นส่งเสริมให้เด็ก ๆ คิดแบบมีเหตุผล มีความคิดสร้างสรรค์และเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยจะสอนทั้งวิชาการและกิจกรรมควบคู่กัน เพื่อให้เด็กค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบหรือความสามารถที่ตัวเองถนัดเพื่อจะได้เติบโตเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอนาคต
นอกจากนี้บางโรงเรียนจะมีการสอนหลักสูตร Advanced Placement (AP) ซึ่งเป็นการสอนรายวิชาที่เป็นระดับสูงและมีการจัดสอบวัดระดับ AP เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งคะแนน AP จะมีผลต่อการคัดเลือกเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอเมริกา จึงเหมาะกับคนที่มีแพลนอยากจะเรียนต่อต่างประเทศ
สำหรับหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติอเมริกันนั้นจะแบ่งนักเรียนตามช่วงอายุเริ่มที่อายุ 5 ปี หรือในบางโรงเรียนจะเปิดรับนักเรียนในระดับเตรียมอนุบาล และมีการเรียกระดับชั้นเป็น Grade ซึ่งจะแบ่งได้ดังนี้
- ระดับอนุบาล kindergarten (KG)
- ระดับประถมศึกษา Elementary School (Grades 1-5)
- มัธยมศึกษาตอนต้น Middle School (Grades 6-8)
- มัธยมศึกษาตอนปลาย High School (Grades 9-12)
-
หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum)
หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อหลักสูตรเคมบริดจ์ เป็นโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษที่มีการสอนควบคู่ไปกับการให้เด็กได้ค้นหาด้วยตัวเอง หรือ Self-Study โดยจะเน้นวิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ที่มีการสอนตามหลักสูตร General Certificate of Secondary Education (GCSE) ซึ่งจะเปิดสอนให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในสหราชอาณาจักร
สำหรับหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติอังกฤษนั้นจะแบ่งนักเรียนตามช่วงอายุเป็น Key Stage โดยแต่ละ Key Stage นั้นก็จะมีการสอบวัดระดับเพื่อประเมินและติดตามผลการเรียนทางวิชาการของน้อง ๆ แต่ละคน โดยเกณฑ์การแบ่งช่วงชั้นเรียนของหลักสูตรแบบอังกฤษจะเรียกระดับชั้นเป็น Year โดยจะกำหนดให้อยู่ระหว่างอายุ 5-16 ปี ได้แก่
- Key Stage 0 : ระดับชั้น Nursery – Reception สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4-6 ปี
- Key Stage 1 : ระดับชั้น Year 1- Year 2 สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 5-6 ปี
- Key Stage 2 : ระดับชั้น Year 3- Year 6 สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 7-10 ปี
- Key Stage 3 : ระดับชั้น Year 7- Year 9 สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 11-13 ปี
- Key Stage 4 : ระดับชั้น Year 10- Year 11 (IGCSE) สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 14-15 ปี
- Key Stage 5 : ระดับชั้น Year 12- Year 13 (Sixth Form) สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 16-17 ปี
-
หลักสูตร International Baccalaureate (IB)
หลักสูตร International Baccalaureate (IB) เป็นหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติที่สอนให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัยค่ะ ซึ่งจะเน้นพัฒนาความรู้ บุคลิกภาพ อารมณ์ ฝึกให้เด็กมีความคิดนอกกรอบ และเข้าใจบริบททางสังคม
หลักสูตรโรงเรียนนานาชาติระบบนี้นักเรียนจะเรียนเหมือนกันหมดทั่วโลกนะคะ ซึ่งมีข้อดีคือหากน้อง ๆ มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศก็จะปรับตัวได้ง่ายค่ะ เพราะเป็นโรงเรียนที่มีมาตรฐานเดียวกันหมด
สำหรับของระดับการศึกษาโรงเรียนนานาชาติหลักสูตร IB จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับการศึกษา และเรียนทั้งหมด 6 กลุ่มวิชาด้วยกัน ได้แก่
ระดับการศึกษา
- ระดับต้น (IB Primary Years Programme หรือ PYP) สำหรับนักเรียนอายุ 3 – 12 ปี
- ระดับกลาง (IB Middle Years Programme หรือ MYP) สำหรับนักเรียนอายุ 11 – 16 ปี
- ระดับประกาศนียบัตรนานาชาติ (IB Diploma Programme หรือ IBDP) สำหรับนักเรียนอายุ 16 – 19 ปี
เทคนิคการเลือก international school Bangkok
- หลักสูตรการศึกษา ตรวจสอบว่าหลักสูตรของโรงเรียนตรงกับความต้องการและความสนใจของลูกหรือไม่ รวมถึงความเหมาะสมกับแผนการศึกษาต่อของพวกเขา บางโรงเรียนเน้นหลักสูตรที่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร เช่น AP, A Levels หรือ IB ซึ่งอาจมีความต่างกันอย่างมาก
- ชื่อเสียงของโรงเรียน การมองหาชื่อเสียงของโรงเรียนผ่านการตรวจสอบจากผู้ปกครองอื่นๆ รีวิว, การรับรองคุณภาพ, และผลการเรียนของโรงเรียนนั้นๆ สิ่งเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาและการจัดการโรงเรียน
- ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำความเข้าใจในเรื่องค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงค่ายูนิฟอร์ม ค่าวัสดุการเรียน และค่ากิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อวางแผนการเงินได้เหมาะสม
- สิ่งอำนวยความสะดวก ตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโรงเรียน เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์, สนามกีฬา, ห้องสมุด, และห้องคอมพิวเตอร์ เพื่อดูว่าพวกเขามีทรัพยากรที่เพียงพอและทันสมัยเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนหรือไม่
- วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ พิจารณาวัฒนธรรมของโรงเรียนและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เพื่อดูว่าโรงเรียนมีการสนับสนุนการเรียนรู้ที่หลากหลายและเปิดกว้างหรือไม่ รวมทั้งความเข้มงวดในการจัดการและนโยบายทั่วไปของโรงเรียน
- การเข้าถึงและการเดินทาง คำนึงถึงตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนและความง่ายในการเดินทาง โรงเรียนที่สะดวกในการเดินทางมักจะลดความเครียดให้กับนักเรียนและครอบครัว
ถึงแม้ค่าเทอมของโรงเรียนที่เป็นนานาชาติจะสูงกว่าโรงเรียนทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับผลประโยชน์ที่เด็กๆ จะได้รับนั้นถือเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก เพราะเด็กจะไม่ได้แค่ได้เรียนหลักสูตรที่ดีๆ เพียงอย่างเดียวแต่ยังได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ อีกมากมายที่โรงเรียนได้นำมาสอน รวมถึงมีบุคลากรที่มีความพร้อมในการสอน สภาพแวดล้อมที่ดี สังคมที่ดีต่อเด็ก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เด็กเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพค่ะ