สุขภาพ ความรู้รอบตัว

มือชา เท้าชากับความสัมพันธ์ของสมองและไขสันหลัง

อาการมือชา เท้าชาไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากปัญหาเฉพาะที่มือหรือเท้าเท่านั้น แต่อาจสะท้อนถึงปัญหาในระบบประสาทส่วนกลาง (สมองและไขสันหลัง) ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการรับรู้และการเคลื่อนไหวของร่างกาย

บทบาทของสมองในอาการมือชา เท้าชา

สมองทำหน้าที่รับและประมวลผลสัญญาณประสาทจากอวัยวะต่างๆ ผ่านไขสันหลังและเส้นประสาทส่วนปลาย เมื่อสมองทำงานผิดปกติ เช่น ในกรณีของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือเนื้องอกในสมอง อาจส่งผลให้เกิดอาการชาเฉพาะส่วน เช่น มือหรือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง

ไขสันหลังกับการส่งสัญญาณไปยังประสาท

ไขสันหลังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสัญญาณประสาทระหว่างสมองและร่างกาย หากไขสันหลังถูกกดทับหรือเสียหาย เช่น จากหมอนรองกระดูกเคลื่อน (Herniated Disc) หรือโรคกระดูกสันหลังเสื่อม อาจทำให้สัญญาณที่ส่งไปยังแขนหรือขาไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดอาการชา

โรคที่เกี่ยวข้องกับสมองและไขสันหลังที่ทำให้ชา

โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
เกิดจากการเสื่อมของปลอกไมอีลินที่ปกคลุมเส้นประสาท ทำให้สัญญาณประสาทถูกขัดขวาง ผู้ป่วยอาจมีอาการชาที่มือ ชาที่เท้า หรือทั่วร่างกายร่วมกับอาการอื่น

โรคเส้นเลือดในสมอง (Stroke)
เมื่อสมองขาดเลือดหรือออกซิเจน บริเวณที่ควบคุมความรู้สึกหรือการเคลื่อนไหวอาจเสียหาย ทำให้เกิดอาการชาและอ่อนแรง

การบาดเจ็บไขสันหลัง (Spinal Cord Injury)
เช่น การกระแทกหรืออุบัติเหตุ อาจทำให้เกิดอาการชาอย่างรุนแรง

สัญญาณเตือนของปัญหาสมองและไขสันหลัง

อาการชาร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง

การเคลื่อนไหวลำบาก เช่น เดินหรือจับสิ่งของไม่ได้

ชาเฉพาะส่วน เช่น แขนหรือขาข้างเดียว

มีอาการปวดหลังร่วมกับชา

การตรวจวินิจฉัย

แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจต่างๆ เพื่อระบุปัญหา เช่น

การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ สแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อตรวจสอบสมองและไขสันหลัง

การตรวจคลื่นไฟฟ้าประสาท (EMG) เพื่อประเมินการทำงานของเส้นประสาท

การรักษา ป้องกันปัญหาทางสมองและไขสันหลัง

การรักษา ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรค เช่น การผ่าตัดแก้ไขหมอนรองกระดูกกดทับ การทำกายภาพบำบัด หรือการใช้ยาลดการอักเสบ

การป้องกัน

ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตละ 2-3 ครั้ง

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ เช่น การยกของหนักผิดท่า

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะหากมีอาการชาที่เกิดขึ้นบ่อย

อาการมือชา เท้าชาอาจดูเหมือนปัญหาเล็กน้อย แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาร้ายแรงในสมองหรือไขสันหลัง การสังเกตอาการและรีบพบแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาได้อย่างทันท่วงที

การปรับไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันมือชา เท้าชา

อาการมือชา เท้าชา สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม เพื่อดูแลทั้งระบบประสาทและสุขภาพโดยรวม ดังนี้

1.ปรับท่าทางและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดิมนานๆ
พยายามเปลี่ยนท่าทางทุกๆ 30-60 นาที เช่น การยืดเส้นยืดสายหรือเดินรอบๆ

จัดท่าทางการนั่งทำงานให้เหมาะสม
ใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังได้ดี ปรับระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และหลีกเลี่ยงการวางมือหรือเท้าในท่าที่กดทับเส้นประสาท

2.ดูแลสุขภาพร่างกายด้วยการออกกำลังกาย

ออกกำลังกายที่เน้นการไหลเวียนเลือด
เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือการปั่นจักรยาน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังปลายประสาท

เสริมสร้างความยืดหยุ่นของร่างกาย
ทำโยคะหรือการยืดกล้ามเนื้อที่ช่วยลดการตึงของกล้ามเนื้อและลดแรงกดต่อเส้นประสาท

3.โภชนาการเพื่อสุขภาพประสาท

เน้นอาหารที่มีวิตามินบี
วิตามินบี 1, บี 6 และ บี 12 ช่วยบำรุงเส้นประสาท พบได้ในธัญพืช ปลา ถั่ว และผักใบเขียว

เสริมด้วยไขมันดี
ไขมันโอเมก้า-3 จากปลาแซลมอนหรือถั่ว ช่วยลดการอักเสบของระบบประสาท

หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
เช่น ของทอด น้ำตาล และอาหารแปรรูป

4.ลดความเครียดและดูแลสุขภาพจิต

ฝึกการผ่อนคลายจิตใจ
เช่น การทำสมาธิหรือฝึกหายใจ เพื่อช่วยลดความตึงเครียดที่อาจส่งผลต่อระบบประสาท

นอนหลับให้เพียงพอ
การพักผ่อนที่ดีช่วยให้ระบบประสาทฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำลายระบบประสาท

ลดการใช้เครื่องมือที่กดดันเส้นประสาท เช่น การใช้สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ในท่าที่ไม่เหมาะสม

เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษเหล่านี้ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและระบบประสาท

6.ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ

ตรวจสอบสภาพร่างกายประจำปีเพื่อตรวจหาโรคที่อาจส่งผลต่อเส้นประสาท

7.การใช้อุปกรณ์ช่วยลดแรงกดทับ

ใช้รองเท้าที่เหมาะสมและนุ่มสบายเพื่อป้องกันแรงกดที่เท้า

ใช้แผ่นรองข้อมือหรือเมาส์ที่รองรับการใช้งานของมือได้ดี

ตัวอย่างกิจวัตรที่ช่วยป้องกันมือชา เท้าชา

ตื่นเช้ามาทำการยืดกล้ามเนื้อ 5-10 นาที

รับประทานอาหารเช้าที่มีไขมันดีและวิตามินบี

พักการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทุก 1 ชั่วโมง พร้อมเดินยืดเส้น

จบวันด้วยการออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ หรือเดินเล่น

การปรับไลฟ์สไตล์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดอาการมือชา เท้าชา แต่ยังเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวอีกด้วย

Karintip

Karintip

About Author

You may also like

สุขภาพ

5 โรคที่พบได้บ่อยในคนไทย คุณกำลังทำพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้อยู่หรือไม่?

สภาพแวดล้อม และรูปแบบการดำเนินชีวิตล้วนส่งผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น มีหลายโรคร้ายที่พบบ่อยในคนไทย การทราบถึงสาเหตุของโรคสามารถนำมาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีได้
ผู้หญิง สุขภาพ

สาว ๆ ต้องอ่าน! สาเหตุ “โรคมะเร็งปากมดลูก” รู้ก่อนป้องกันได้!

โรคมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) การดูแลตัวเองและตรวจเช็คสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยป้องกันโรคนี้ในระยะแรกเริ่มได้